บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการนวดแผนไทย และเปรียบเทียบความพึงพอใจจำแนกตามตัวแปรต่างๆกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้มารับบริการนวดแผนไทยในโรงพยาบาลปราสาท โดยการสุ่มแบบเจาะจงจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้ และ แบบวัดความพึงพอใจ ซึ่งผ่านการตรวจสอบเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญและทดสอบความเชื่อมั่นโดยวิธีอัลฟาของครอนบาค มีค่าเท่ากับ 0.59 และ 0.84 ตามลำดับ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามระหว่างวันที่10 -31 มกราคม 2551 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ได้แก่ T-test และ F-test ผลการวิจัยเป็นดังนี้
กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องการนวดแผนไทยระดับปานกลางร้อยละ 36.7 ระดับสูงร้อยละ 33.3 และระดับต่ำร้อยละ 30.0
กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจบริการนวดแพทย์แผนไทยพอใจในภาพรวมระดับมากร้อยละ60.0 ความพึงพอใจระดับปานกลางร้อยละ 40.0 โดยไม่พบความพึงพอใจระดับน้อยเลย
เมื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจกับตัวแปรต่างๆ เพศ อายุ การศึกษา สถานภาพ ศาสนา อาชีพ รายได้ และความเจ็บปวดก่อนมารับบริการ ผลการวิจัยพบว่าเพศชายและเพศหญิงมีมีความพึงพอใจใกล้เคียงกันร้อยละ 42.54 และ 40.42 ตามลำดับ ทุกช่วงอายุมีความพึงพอใจใกล้เคียงกันอยู่ในช่วงร้อยละ 40.44 - 41.80 การศึกษามีความพึงพอใจใกล้เคียงกันระหว่างร้อยละ 39.60-41.57 สถานภาพโสดมีความพึงพอใจมากสุดร้อยละ 42.66 อาชีพรับราชการมีความพึงพอใจมากสุดร้อยละ45.00 กลุ่มไม่มีรายได้มีความพึงพอใจสูงสุดร้อยละ43.50 กลุ่มไม่มีความเจ็บปวดมีความพึงพอใจสูงสุดร้อยละ 44.00
จากการศึกษาพบว่าผู้รับมาบริการส่วนใหญ่ขาดความรู้ในเรื่องโรคหรืออาการที่ไม่สามารถนวดได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ควรมีการจัดทำแผ่นพับและบอร์ดให้ความรู้เกี่ยวกับโรคที่ไม่สามารถนวดได้ รวมถึงประเภทของการนวด และข้อควรระมัดระวังในการนวด ผู้มารับบริการได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องการนวดไม่ครบถ้วน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ควรประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่านช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น วิทยุชุมชน ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการปวดซ้ำ และประเภทของการนวดแผนไทย