บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลตนเอง และเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นก่อนและหลังการเข้าโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมและการให้ความรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุ น้อยกว่า20 ปีบริบูรณ์นับถึงวันสัมภาษณ์ ที่มารับบริการฝากครรภ์ที่รพ.ปราสาท โดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 3 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป การวัดแบบความรู้ และการวัดการปฏิบัติ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่นโดย วิธีอัลฟาของครอนบาช ด้านความรู้ มีค่าเท่ากับ 0.63ด้านการปฏิบัติ มีค่าเท่ากับ 0.67 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง ตั้งแต่วันที่ 5 มีค. 57 ถึง 23 เมย. 57 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสถิติพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ ได้แก่ Paired Samples t test
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ก่อนการทดลองอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 63.3 และระดับสูง ร้อยละ 20.0 มีความรู้เรื่องการตั้งครรภ์หลังการทดลอง พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 66.7 และระดับสูง ร้อยละ 23.3 พฤติกรรมการปฏิบัติตัวของหญิงตั้งครรภ์ ก่อนการทดลอง พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 93.3 และระดับไม่ดี ร้อยละ 6.7 พฤติกรรมการปฏิบัติตัวหลังการทดลองอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 90.0 และระดับดี ร้อยละ 6.7 เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างความรู้และพฤติกรรมการปฏิบัติก่อนและหลังการทดลอง พบว่า
คะแนนเฉลี่ย พฤติกรรมการปฏิบัติก่อนและหลังการทดลองมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนคะแนนเฉลี่ยความรู้ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
จากการค้นพบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ควรมีการส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคมและการให้ความรู้แก่หญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น พร้อมทั้งให้สามีและญาติมีส่วนร่วมในการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย และจิตใจของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ลดภาวะวิตกกังวล เกิดความมั่นใจในตนเองและมีความรู้สึกว่าตนเองสามารถเผชิญเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์และการคลอดได้