บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบตัดขวาง เพื่อศึกษา การเกิดภาวะแทรกซ้อนและวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาต้านการแข็งตัวของเลือด
กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจในคลินิกวาร์ฟารีน ในการวิจัยครั้งนี้ทำการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 110 ราย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือแบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วนได้แก่ข้อมูลทั่วไป แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการเกิดภาวะแทรกซ้อน แบบวัดพฤติกรรมการปฏิบัติตัวการดูแลตนเอง และแบบวัดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงโดยผู้เชี่ยวชาญและทดสอบความเชื่อมั่นด้วยวิธีอัลฟาของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถาม 0.67 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 พฤษภาคม 2557 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาใช้จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ Chi – square test ผลการวิจัยมีดังนี้ต่อไปนี้ ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจของผู้ป่วยโรคหัวใจในคลินิกวาร์ฟารีน มีความรู้เรื่องภาวะแทรกซ้อนอยู่ในระดับต่ำและปานกลางร้อยละ 67.3 และร้อยละ 31.8 ตามลำดับ พฤติกรรมการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคหัวใจในคลินิกวาร์ฟารีน พบว่าส่วนใหญ่มี พฤติกรรมการปฏิบัติตัวถูกต้องอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 96.4 ผู้ป่วยโรคหัวใจคลินิกวาร์ฟารีนไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาต้านการแข็งตัวของเลือด ร้อยละ 58.2 และเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยา ร้อยละ 41.8 เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาต้านการแข็งตัวของเลือด ผลการวิจัยพบว่า ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ย ค่า INR และดัชนีมวลกาย(BMI) มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p <.05 (p=0.034 , 0.039, 0.012, 0.010) จากการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทีมสหสาขาวิชาชีพควรจัดกิจกรรมหรือพัฒนารูปแบบการให้ข้อมูล ความรู้แก่ผู้ป่วยเรื่องการ เกี่ยวกับการรักษาโรคหัวใจด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด(Warfarin) การปฏิบัติตัวเพื่อการดูแลตนเอง ตลอดจนการดำเนินโครงการต่อเนื่องในคลินิกวาร์ฟารีนและถ้าพบระดับค่า INR > ควรระมัดระวังและเฝ้าติดตาม
หาสาเหตุพร้อมแก้ไขและต้องควรได้รับการรักษาทันที